เมนู

ของศัตรู เหมือนไก่พ้นจากเหยี่ยว ฉะนั้น.
[1432] คนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ควรเว้น
บุคคลผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักทำการกำจัดอยู่
เป็นนิตย์ เหมือนแร้วที่เขาดักไว้ในป่าเช่นนั้น
เสียให้ห่างไกล เหมือนไก่ในป่าไผ่ละเว้น
เหยี่ยว ฉะนั้น.

จบ กุกกุฏชาดกที่ 10

อรรถกถากุกกุฏชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภ
ความพยายามปลงพระชนม์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาสฺมเส
กตปาปมฺหิ
ดังนี้.
ความย่อว่า ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาถึงความไม่ดี
ของพระเทวทัตว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตทำอุบายเพื่อจะปลงพระ-
ชนม์พระทศพล ด้วยการวางนายขมังธนูเป็น. พระศาสดาเสด็จมา
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่อง
อะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตพยายามฆ่าเรา แม้

ในกาลก่อนพระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่าโกสัมพิกะครองราชสมบัติ
อยู่ในพระนครโกสัมพี. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นไก่ ณ
ป่าไผ่แห่งหนึ่ง มีไก่หลายร้อยเป็นบริวารอยู่ในป่า. เหยี่ยวตัวหนึ่งอยู่
ณ ที่ใกล้ ๆ กันนั้น มันใช้อุบายจับไก่กินทีละตัว ๆ กินจนหมด นอก
จากพระโพธิสัตว์อยู่ตัวเดียว เป็นผู้ไม่ประมาท เที่ยวหาอาหารตามเวลา
แล้วก็เข้าไปอยู่ ณ เชิงไผ่. เหยี่ยวนั้นไม่อาจจับไก่พระโพธิสัตว์นั้นได้
จึงคิดว่า เราจักใช้อุบายอย่างหนึ่งล่อลวงจับไก่นั้นกินให้ได้. แล้วเข้า
ไปแอบอยู่ที่กิ่งไม้ใกล้ ๆ กันนั้น กล่าวว่า แน่ะพญาไก่ผู้เพื่อน ท่าน
กลัวเราเพราะเหตุไร ? เราต้องการทำความคุ้นเคยกับท่าน ประเทศชื่อ
โน้นสมบูรณ์ด้วยอาการ เราทั้งสองไปหาอาหารกันที่นั้น แล้วจักอยู่
อย่างมีความรักใคร่กันและกัน.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวกะเหยี่ยวว่า แน่ะเพื่อนเราจะมี
ความคุ้นเคยกะเจ้าไม่ได้ เจ้าไปเถิด. เหยี่ยวถามว่า แน่ะเพื่อน ท่าน
ไม่เชื่อเราเพราะเราเคยทำความชั่วมาแล้ว. ตั้งแต่นี้ไปเราจักไม่ทำเช่น
นั้นอีก พระโพธิสัตว์ตอบว่า เราไม่ต้องการสหายเช่นเจ้า เจ้าจงไป
เสียเถิด. พระโพธิสัตว์ห้ามเหยี่ยวทำนองนี้ถึง 3 ครั้ง แล้วส่งเสียงขัน
ก้องป่าว่า ใคร ๆ ไม่ควรทำความคุ้นเคยกับผู้ที่ประกอบด้วยลักษณะ

เช่นนี้ ดังนี้ เมื่อเทวดาทั้งหลายพากันแซ่ซ้องสาธุการ เมื่อจะเริ่ม
ธรรมกถาได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
บุคคลไม่พึงคุ้นเคยในคนทำบาป คน
มักพูดเหลาะแหละ คนมีปัญญาคิดแต่ประ-
โยชน์ตน คนแสร้งทำสงบเสงี่ยมแต่ภายนอก.
มีคนพวก 1 มีปกติเหมือนโคกระหาย
น้ำ ทำที่เหมือนจะกล้ำกลืนมิตรด้วยวาจา แต่
ไม่ใช่ด้วยการงานไม่ควรคุ้นเคยในคนเช่นนั้น.
คนพวก 1 เป็นคนชูมือเปล่า พัวพัน
อยู่แต่ด้วยวาจา เป็นมนุษย์กระพี้ ไม่มีความ
กตัญญู ไม่ควรนั่งใกล้คนเช่นนั้น.
บุคคลไม่ควรคุ้นเคยต่อสตรีหรือบุรุษผู้
มีจิตกลับกลอก ไม่ทำความเกี่ยวข้องให้แจ้ง-
ชัดด้วยเหตุต่าง ๆ.
ไม่ควรคุ้นเคยกับบุคคล ผู้หยั่งลงสู่
ธรรมอันไม่ประเสริฐ เป็นคนไม่แน่นอน กำ-
จัดคนไม่เลือกหน้า เหมือนดาบที่เขาลับแล้ว
ปกปิดไว้ ฉะนั้น.

คนบางพวกในโลกนี้ คอยเพ่งโทษเข้า
ไปหาด้วยอุบายต่าง ๆ ด้วยคำพูดอันคมคาย
ซึ่งไม่ตรงกับน้ำใจ ด้วยสามารถแห่งคนเทียม
มิตร แม้คนเช่นนี้ก็ไม่ควรคุ้นเคย.
คนมีความคิดชั่วเช่นนั้น พบเห็นอามิส
หรือทรัพย์เข้า ณ ที่ใด ย่อมคิดประทุษร้าย
และครั้นได้แล้วก็ละสหายนั้นไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาสฺมเส แปลว่าไม่พึงคุ้นเคย อีก
อย่างหนึ่ง พระบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน มีคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลไม่
ควรคุ้นเคย. บทว่า กตปาปมฺหิ คือ ในคนทำบาปไว้ครั้งแรก. บทว่า
อลิกวาทิเน คือ ไม่พึงคุ้นเคยแม้ในคนที่มักพูดเท็จ เพราะว่า ขึ้น
ชื่อว่าบาปที่บุคคลผู้มักพูดเท็จนั้นไม่พึงทำ ย่อมไม่มี.
บทว่า นาสฺมเส อตฺตตฺถปญฺญมฺหิ ความว่า บุคคลใดมี
ปัญญาคิดแต่ประโยชน์ตนเท่านั้น คือ ไม่ได้คบด้วยสามารถแห่งเสน่หา
แต่มีความต้องการทรัพย์เหล่านั้นจึงคบ แม้ในบุคคลผู้มีปัญญาคิดแต่
ประโยชน์ตนนั้น ก็ไม่ควรคุ้นเคย. บทว่า อติสนฺเต ได้แก่ ใน
บุคคลผู้แสร้งทำสงบเสงี่ยมด้วยการแสดงความสงบในภายนอก ทั้ง ๆ
ที่ความสงบในภายในไม่มีอยู่เลย คือ ในบุคคลผู้หลอกลวง ผู้ปกปิด
การงาน ผู้เช่นกับอสรพิษที่ปกปิดรู.

บทว่า โคปิปาสกชาติกา คือ ราวกะมีชาติกระหายน้ำแห่งโค
ทั้งหลาย อธิบายว่า เป็นเช่นกับด้วยโคที่กระหายน้ำ พระโพธิสัตว์แสดง
ความนี้ไว้ว่า เปรียบเหมือนโคตัวที่กระหายน้ำลงสู่ท่าแล้วดื่มน้ำจนเต็ม
ปาก แต่ไม่กระทำสิ่งที่ควรกระทำแก่น้ำอีกฉันใด บุคคลบางพวกก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ทำที่จะกล้ำกลืนมิตรด้วยคำอันอ่อนหวานว่า จะทำ
สิ่งโน้นสิ่งนี้ให้ แต่แล้วก็ไม่กระทำสิ่งที่ควรแก่คำอันไพเราะ ความคุ้น-
เคยในบุคคลเช่นนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายอันใหญ่หลวง.
บทว่า สุกฺขญฺชลิปคฺคหีตา คือ เป็นคนชูมืออันเปล่า. บทว่า
วาจาย ปลิคุณฺฐิตา คือ ปกปิดด้วยคำว่า จักให้จักทำสิ่งนั้น. บทว่า
มสุสฺเผคฺคู ความว่า มนุษย์ผู้หาแก่นสารมิได้เห็นปานนี้ ชื่อว่า
เป็นมนุษย์กระพี้. บทว่า นาสิเท ได้แก่ ไม่ควรนั่งใกล้คือ ไม่ควร
เข้าไปใกล้ในบุคคลนั้นเห็นปานนี้.
บทว่า ยสฺมึ นตฺถิ ความว่า อนึ่ง ความกตัญญูไม่มีในบุคคล
ใด แม้ในบุคคลนั้น ก็ไม่ควรนั่งใกล้. บทว่า อญฺญญฺญจิตฺตานํ
ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยจิตอันไม่แน่นอน อธิบายว่า ผู้มีจิตกลับกลอก.
พระโพธิสัตว์แสดงความนี้ไว้ว่า บุคคลไม่ควรคุ้นเคยต่อสตรีหรือบุรุษ
ผู้เห็นปานนี้.
บทว่า นานา วิกตฺวา สํสคฺคํ พระโพธิสัตว์แสดงว่า แม้
บุคคลใดกระทำความเกี่ยวข้องให้แจ้งชัด คือ กระทำให้มั่นด้วยเหตุต่าง ๆ

เพื่อจะทำอันตรายด้วยโวหารว่า ใคร ๆ ไม่อาจเพื่อไม่เข้าไปทำสิ่งที่ไม่เป็น
อันตรายแก่เขาได้. ดังนี้แล้วทำอันตรายในภายหลัง บุคคลแม้เช่นนั้น
ก็ไม่ควรคุ้นเคย คือ ไม่ควรสนิทสนม.
บทว่า อนริยกมฺมํ โอกฺกนฺตํ ได้แก่ ผู้หยั่งลงสู่กรรมของผู้
ไม่ประเสริฐ คือ ผู้ทุศีลทั้งหลายดำรงอยู่. บทว่า อฐิตํ ได้แก่ ผู้ไม่
มั่นคง คือ ผู้มีคำพูดอันไม่แน่นอน.
บทว่า สพฺพฆาตินํ คือ ผู้ได้โอกาสแล้วทำการกำจัดบุคคลไม่
เลือกหน้า. บทว่า นิสิตํว ปฏิจฺฉนฺนํ คือ เหมือนดาบที่ลับแล้ว ปกปิด
ไว้ด้วยฝักหรือเศษผ้าฉะนั้น. บทว่า ตาทิสํปิ ความว่า บุคคลไม่ควร
คุ้นเคย คนผู้มีใช่มิตรผู้เป็นคนเทียมมิตรแม้เห็นปานนี้.
บทว่า สาขลฺเยน คือ ด้วยดาพูดอันคมคาย. บทว่า อเจตสา
แปลว่า อันไม่ตรงกับน้ำใจ จริงอยู่ คำพูดของบุคคลเหล่านั้นเท่านั้น
กลมกล่อม ส่วนจิตกระด้างหยาบคายคนบางพวกในโลกนี้คอยเพ่งโทษ
เข้าไปหาด้วยอุบายต่าง ๆ. บทว่า ตาทิสํปิ ความว่า คนใดเป็นเช่นกับ
ด้วยคนผู้มีใช่มิตรผู้เป็นคนเทียมมิตรเหล่านั้น คนแม้เช่นนั้นก็ไม่ควร
คุ้นเคย.
บทว่า อามิสํ ได้แก่ ของควรเคี้ยวและของควรบริโภค. บทว่า
ธนํ ได้แก่ สิ่งของที่เหลือตั้งต้นแต่ขาเตียง. บทว่า ยตฺถ ปสฺสติ

คือ เห็น ณ ที่ใดในเรือนของสหาย. บทว่า ทุพฺภึ กโรติ ได้แก่
ให้จิตคิดประทุษร้ายเกิดขึ้น คือ นำทรัพย์นั้นไป. บทว่า ตญฺจ หิตฺวาน
คือ ครั้นได้ก็ละสหายแม้นั้นไป.
พญาไก่ได้กล่าวคาถา 7 คาถาด้วยประการดังนี้ :-
พระศาสดาผู้เป็นธรรมราชา ได้ทรงภาษิตอภิสัมพุทธคาถา 4
คาถาดังนี้ว่า :-
มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ปลอมเป็นมิตร
มาคบหา บุคคลพึงละบุรุษชั่วเหล่านั้นเสีย
เหมือนไก่ละเหยี่ยว ฉะนั้น.
อนึ่ง บุคคลใดไม่รู้เท่าเหตุที่เกิดขึ้นได้
ฉับพลัน หลงไปตามอำนาจศัตรู บุคคลนั้น
ย่อมเดือนร้อนในภายหลัง.
ส่วนบุคคลใดรู้เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นได้
ฉับพลัน บุคคลนั้นย่อมพ้นจากการเบียดเบียน
ของศัตรู เหมือนไก่พ้นจากเหยี่ยว ฉะนั้น.
คนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ควรเว้น
บุคคลผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักทำการกำจัดอยู่
เป็นนิตย์ เหมือนแร้วที่เขาดักไว้ในป่า เช่นนั้น

เสียให้ห่างไกล เหมือนไก่ในป่าไผ่ละเว้น ํ เหยี่ยว ฉะนั้น.
เหยี่ยว ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชเห กาปุริเส เหเต ความว่า
ภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตพึงละบุรุษชั่วเหล่านั้นเสีย ก็ หิ อักษรในพระ-
คาถานี้เป็นเพียงนิบาต.
บทว่า ปจฺฉา จ มนุตปฺปติ คือ ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
บทว่า กูฏมิโวฑฺฑิตํ คือ เหมือนแร้วที่เขาดักไว้ในป่าเพื่อต้องการ
จะให้เนื้อในป่ามาติดฉะนั้น. บทว่า นิจฺจวิธํสการินํ แปลว่า ผู้มัก
ทำการกำจัดอยู่เป็นนิจ. บทว่า วํสกานเน แปลว่า ในป่าไผ่ นรชน
ผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ควรเว้นบาปมิตร ผู้มักทำการกำจัดเสีย
เหมือนไก่ในป่าไผ่ละเว้นเหยี่ยว ฉะนั้น.
พระยาไก่นั้นครั้นกล่าวคาถาแล้ว เรียกเหยี่ยวมาขู่ว่า ถ้าเราจัก
อยู่ในที่นี้ เราจักตอบแทนการกระทำของเจ้า แม้เหยี่ยวก็ได้หนีจากที่
นั้นไปในที่อื่น.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราอย่างนี้
ดังนี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า เหยี่ยวในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัตใน
บัดนี้ ส่วนพญาไก่ในครั้งนั้น. ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุกกุฏชาดกที่ 10

11. มัฏฐกุณฑลิชาดก



ว่าด้วยคนร้องไห้ถึงคนตายเป็นคนโง่เขลา



[1433] ท่านประดับแล้วด้วยอาภรณ์ต่าง ๆ มี
ต่างหูเกลี้ยงเกลา ทัดทรงระเบียบดอกไม้
ลูบไล้กระแจะจันทน์สีเหลือง ท่านมีทุกข์
อะไรหรือ จงมากอดอกคร่ำครวญอยู่ในกลาง
ป่า.
[1434] เรือนรถงามแพรวพราว แล้วไปด้วย
ทองคำของเรามีอยู่แล้ว เราหาล้อทั้ง 2 ของ
เรือนรถนั้นยังไม่ได้ ด้วยความทุกข์อันนั้น
เราจักตายเป็นแน่.
[1435] ท่านต้องการรถชนิดไร รถทำด้วย
ทองคำ แก้วมณี โลหะ หรือรูปิยะ จงบอก
รถชนิดนั้นแก่เราเถิด เราจะทำรถให้แก่ท่าน
จะหาล้อทั้งคู่ใส่ให้เสร็จ.
[1436] พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้ง 2 งาม
ผ่องใสอยู่ในวิถีทั้ง 2 ลอยไปในอากาศ รถ